วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

พ่อท่านคล้าย จันทสุวัณโณ วัดจันดี จ.นครศรีธรรมราช

“พระครูพิศิษฐ์อรรถการ” หรือ “พ่อท่านคล้าย จันทสุวัณโณ”
“พระครูพิศิษฐ์อรรถการ” หรือ “พ่อท่านคล้าย จันทสุวัณโณ” ผู้มีวาจาสิทธิ์แห่งเมืองใต้ อดีตเจ้าอาวาสวัดจันดี กิ่ง อ.ช้างกลาง จ.นครศรีธรรมราช หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า วัดทุ่งปอน
ชาวเมืองนครศรีธรรมราช ให้ความเลื่อมใสศรัทธา และรู้จักชื่อเสียงของท่านเป็นอย่างดี อัตโนประวัติ เกิดในสกุล สีนิล เมื่อวันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ.2419 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ปีชวด ที่บ้านโคกกระทือ หรือบ้านโคกทือ หมู่ 10 ต.ช้างกลาง อ.ฉวาง จ.นครศรี ธรรมราช (ปัจจุบันตำบลช้างกลางอยู่ในอำเภอช้างกลาง) โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายอินทร์และนางเหนี่ยว สีนิล
ครอบครัวของพ่อท่านคล้ายมีฐานะค่อน ข้างดี มีความรู้เรื่องอักษรไทยและขอมเป็นอย่างดี จึงสอนเขียนอ่าน บุตรชายด้วยตัวเองที่บ้าน จนมีความชำนาญ และยังได้ส่งบุตรชายไปเรียนคณิตศาสตร์ต่อยังสำนักของครูขำ
อายุ ประมาณ 14-15 ปี ได้เดินทางไปอยู่กับพี่สาวและพี่เขย ที่ ต.มะม่วงเอน อ.คลองท่อม จ.กระบี่ ต่อมา ในปี พ.ศ.2438 ได้เข้าพิธีบรรพชา โดยพระอธิการจัน อดีตเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดจันดี (ทุ่งปอน) ขณะจำพรรษาก็ตั้งใจใฝ่เรียน ฝึกท่องพระปาฏิโมกข์จนชำนาญแคล่วคล่องแม่นยำ
ครั้นอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ในปี พ.ศ.2439 ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ อุทกุกเขปสีมา (ศาลาน้ำ) วัดวังม่วง โดยมีพระอาจารย์กราย คังคสุ วัณโณ เจ้าอาวาสวัดหาดสูง เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์สังข์ สิริรตโน เจ้าอาวาสวัดไม้เรียง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์ทอง ปทุมสุวัณโณ เจ้าอาวาสวัดวังม่วงเป็นพระอนุสาวนาจารย์ และมีพระอาจารย์ล้อม ถิรโชโต เป็นผู้ให้สรณคมน์และศีล ได้รับฉายาว่า จันทสุวัณโณ
หลังจากอุปสมบท ได้อยู่จำพรรษาที่วัดจันดี ศึกษาพระธรรมวินัยและภิกขุ ปาฏิโมกข์จนแตกฉาน ต่อมาได้ไปศึกษาพระปริยัติธรรมกับท่านพระครูกาแก้ว (ศรี) วัดหน้าพระบรมธาตุฯ อยู่ 2 ปี ศึกษาวิทยาคมจากพระอาจารย์กราย วัดหาดสูง ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์จนแก่กล้า เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดัง
หลังจากนั้น พ่อท่านคล้ายเริ่มออกธุดงค์แสวงหาความวิเวกตามป่าเขาและถ้ำต่างๆ เพื่อศึกษาทางด้านปฏิบัติ นั่งสมาธิ นั่งกัมมัฏฐานอย่างจริงจัง ตามประวัติและหลักฐานที่ปรากฏท่านแบกกลดท่องธุดงค์และเทศนาธรรมเผยแผ่พระ พุทธศาสนาถึงดินแดนใต้สุดเมืองสยามตลอดจนประเทศมาเลเซีย โดยพำนักปักกลดที่วัดพุทธาธิวาส อ.เบตง จ.ยะลา
พ่อท่านคล้าย ได้สร้างคุโณปการไว้กับพระ พุทธศาสนามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเผยแผ่หลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ สร้างศรัทธาปสาทะกับพุทธศาสนิกชนให้เลื่อมใส เข้าใจในคำสอนของพระพุทธศาสนาอย่างแจ่มแจ้ง อีกทั้งสร้าง ปูชนียวัตถุ ปูชนียสถานที่สืบทอดพระศาสนาอยู่จนทุกวันนี้ คือ องค์พระธาตุเจดีย์ พระพุทธรูปตามวัดต่างๆ รวมทั้งศาสนสถานมากมาย ตลอดจนถาวรวัตถุสิ่งต่างๆ มากมาย อาทิ โรงเรียน ถนนหนทาง ขุดคลอง สร้างสะพานมากมายหลายแห่ง
พ.ศ.2492 พ่อท่านคล้าย ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ในราชทินนามพระครูพิศิษฐ์อรรถการ
พ.ศ.2500 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษ ในราชทินนามเดิม


“พระครูพิศิษฐ์อรรถการ” หรือ “พ่อท่านคล้าย จันทสุวัณโณ”
พ่อท่านคล้าย เป็นพระนักพัฒนา ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบและจะอ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ พ.ศ.2475 ท่านเจ้าคุณพระศรีธรรมสาธน์ (เจ้าคุณพระรัตนธัชมุนี) ซึ่งเป็นพระราชาคณะได้นิมนต์พ่อท่านไปจำพรรษาและดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดจัน ดี เนื่องจากวัดจันดีไม่มีเจ้าอาวาสปกครอง
วาระสุดท้ายของพ่อท่านคล้าย ได้มรณภาพอย่างสงบ ณ ห้องหมายเลข 5 ตึกสุทธิสารรณกร โรงพยาบาลพระมงกุฎ เกล้า เวลา 23.05 น. วันที่ 5 ธันวาคม 2513 ทุกวันนี้สรีระสังขารพ่อท่านคล้าย ได้กลายเป็นหินและไม่เน่าเปื่อย ถูกบรรจุอยู่ในโลงแก้ว ให้คณะศิษย์จากทั่วสารทิศได้นมัสการ ภายในพระเจดีย์ วัดพระธาตุน้อย ตลาดคลองจันดี
ด้านวัตถุมงคลพ่อท่านคล้าย ล้วนแต่ได้รับความนิยมหลายรุ่น ล่าสุดกำลังเปิดให้สั่งจอง เหรียญและรูปเหมือนพ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ รุ่นนะมหาเศรษฐี เพื่อสมทบทุนจัดสร้างศาลาการเปรียญ และก่อสร้างกำแพงวัดจันดี จ.นครศรีธรรมราช
ที่มาคอลัมน์ อริยะโลกที่6

วังโบราณ ลานสกา

จากตำนานพระเจ้าศรีธรรมโศกราชของจังหวัดนครศรีธรรมราชของวัดมหาธาตุวรมหาวิหาร ว่าประมาณปี 1700-1800 เมืองนครศร๊ธรรมราชมีกษัตริย์ สาม พี่น้องพระเชษฐา ทรงพระนามว่า "พระเจ้าศรีธรรมโศกราช" องค์รองชื่อ "จันทรภาณุ" องค์สุดท้ายนามว่า "พงษาสุระ" ทุกพระองค์ครองราชจะทรงพระนามว่า พระเจ้าศรีธรรมโศกราชทั้งหมด ในช่วงนี้ได้สร้างความเจริญให้กับอาณาจักรเป็นอย่างมากทั้งโดยได้ครอบครองเมืองทั้งหลายตลอดแหลมมลายูเรียกว่าเมืองสิบสองนักษัตรถือรูปดอกบัวเป็นสัญญลักษณ์ประจำเมืองนอกจากนี้พระเจ้าศรีธรรมโศกราชได้บูรณะพระบรมธาตุนครศรีธรรมราชซึ่งแบบเดิมเป็นแบบศรึวิชัย ให้เป็น แบบ ลังกาโดยก่อครอบเจดีย์เดิมเมื่อสิ้นสมัยกษัตริย์ สามพี่น้องแล้วหัวเมืองต่างๆในสุวรรณภูมิก็รวมตัวกันมีพระราชาปกครองต่อมาในสมัยพ่อขุนราม คำแหงได้มีการสร้างระเบียงรอบองค์พระบรมธาตุ ทำกำแพงรอบทั้งสี่ด้าน สร้างวิหารติดกับองค์ เจดีย์ใหญ่และสร้างพระพุทธรูปขึ้นแทนองค์พระเจ้าศรีธรรมโศกราชเพื่อประดิษฐานไว้ในวิหารสามจอม และเรียกกันต่อมาว่าวิหารพระเจ้าศรีธรรมโศกราช

ในสมัยพระเจ้าศรีธรรมโศกราชได้เกิดโรคห่าระบาดหลายครั้งพระองค์ต้องอพยพประชากร หนีโรคภัยออกจากเมืองหลายครั้งตามหลักฐานได้ปรากฎว่าหนีมาที่ ลานสกาและสถานที่ประทับก็คือ วังโบราณ แห่งนี้ โดยพระองค์ได้คิดวิธีแก้ไข้ห่า โดยเอาปรอทมาหุงขัดยา ทำเป็นหัวนอโม หว่านทั่วเมืองเพื่อขจัดโรคห่าให้หมดไปเมื่ือหมดจากโรคห่าพระองค์จึงเสด็จประทับที่เมืองนครศรีธรรมราชเป็นการถาวร สถานที่ตรงนั้นจึงเกิดเป็นวัดขึ้น ชื่อว่าวัดน้ำรอบแต่ต่อมาได้ย้ายวัดมาที่สถานที่ใหม่เนื่องจากสถานที่เก่าคับแคบ แต่ต่อมาในปี2510 ได้บูรณะขึ้นมาใหม่ได้มีการนำพระพุทธรูปจำลององค์ พระเจ้าศรีธรรมโศกราช มาประดิษฐานที่นี่ด้วยในปี 2514 เพื่อเตือนใจว่าที่นี่เคยเป็นที่ประทับของพระเจ้าศรีธรรมโศกราชมาแต่ครั้งก่อน

ต่อมาในปี 2518 ที่นี่ได้เกิดอุทกภัย พระพุทธรูปองค์นี้ได้สูญหายไป ต่อจากนั้นชาวบ้านได้กล่าวขานกันว่า องค์พระได้มาเข้าฝันบอกว่าจมอยู่ไนน้ำนานแล้วให้ช่วยเอาขึ้นมาด้วยชาวบ้านก็ช่วยกันขุดแต่ก็ไม่สามารถหาเจอ จนกระทั่งในปี 2546ได้ทำการขุดค้นอีกครั้งและได้ทำการบวงสรวงเทพยด่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ได้ค้นพบชิ้นส่วนองค์พระในคราวนั้นและในเดือน กรกฎาคม 2546 ได้มีการค้นพบแท่นประทับของพระเจ้าศร๊ธรรมโศกราชโดยกล่าวกันว่า การต้นพบนั้นมาจากการเข้าฝัน

วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วัดพรหมโลก

ประวัติโดยย่อ วัดพรหมโลก
วัดพรหมโลก เป็น วัดราษฏร์ สังกัดมหานิกาย ตั้งอยู่ที่ บ้านนอกท่า เลขที่ ๑๖๔ หมู่ที่ ๑ ตำบลพรหมโลก อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช มีเนื้อที่ปัจจุบันประมาณ ๑๕ ไร่ ๓ งาน ๗๖ ตารางวา ตามโฉนดที่ดิน เลขที่ ๒๙๔๙ เล่มที่ ๓๐ หน้าที่ ๔๙
วัดพรหมโลก เดิมชื่อวัด(หัวทุ่ง หรือ *หัวท่อง *เป็นภาษาท้องถิ่นทางปักษ์ใต้ หมายถึง พื้นที่สวนหัว หรือ คันนา ) สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ปฐมกษัติริย์ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตอนต้น มีอายุใกล้เคียง กับ กรุงเทพมหานคร ในสมัยสงครามเก้าทัพ กองทัพพม่า ได้บุกเข้าตี เมืองนครศรีธรรมราช บ้านเมือง เกิดความระส่ำระสาย เกิด เหตุการณ์ข้าวยากหมากแพง บ้านเรือน วัดวาอารามถูกเผาทำลาย ทัพพม่าได้กวาดต้อนผู้คนไปเป็นเฉลย จำนวนมาก พ่อท่านขรัวสีทอง สมภารวัดพระสูง (หอพระสูงในปัจจุบัน อยู่บริเวณสนามหน้าเมือง นครศรีธรรมราช ) ได้อพยพพร้อมชาวบ้านหนีพวกทหารพม่ามาลงเรือที่หลังวัดท่ามอญ ( วัดศรีทวีในปัจจุบัน ) แล้วเดินเท้าต่อขึ้นไปทางทิศเหนือ แล้วไปหยุดพักเป็นระยะ ผ่านหมู่บ้าน หลายหมู่บ้าน เช่น บ้านหัวเล ศาลาตีนเป็ด ( บ้านน้ำสรงปัจจุบัน ) ศาลาต้นไพ ( บ้านศาลาไพ ปัจจุบัน ) ศาลาบ้านหาดปรางค์ (บ้านศาลาใหม่ในปัจจุบัน ) ในการเดินทาง ทุกสถานที่ที่พ่อท่านขรัวสีทองหยุดพัก ท่านก็จะ คอยสังเกตดูพื้นที่โดยรอบบริเวณที่หยุดพักค้างแรมพร้อมทั้งสอบถามชาวบ้านในพื้นที่นั้นๆ เพื่อที่จะหา สถานที่สร้างวัดขึ้นมาใหม่ หลังจากหยุดพักแรมที่บ้านหาดปรางค์อยู่ระยะหนึ่งแล้ว ท่านขรัวสีทองก็เดินทางต่อขึ้นไปทางเหนือ ผ่านอีกหลายหมู่บ้าน เช่น บ้านสัปบุรุษ ( บ้านสำรุดอ่อนในปัจจุบัน ) บ้านเขาปูน จนกระทั่ง มาหยุดที่บริเวณริมคลองนอกท่า ( ด้านทิศเหนือของ*วัดพรหมโลก*ในปัจจุบัน) เมื่อศึกสงครามสงบลง ท่านก็ได้พักแรมอยู่ที่นี่ และ ท่านได้สังเกตเห็นว่า บริเวณนี้เป็นพื้นที่ เหมาะแก่การสร้างที่พักสงฆ์ได้ เพราะอยู่ ติดริมคลอง การสัญจรไปมาสะดวกสบาย น้ำท่าก็อุดมสมบูรณ์ เพราะ คลองนอกท่า มีต้นน้ำที่ไหลมาจากเทือกเขาหลวงที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตก ท่านจึงได้ชักชวนชาวบ้านในพื้นที่ สร้างกุฏิเล็กๆขึ้นหนึ่งหลัง พอที่จะพักผ่อน และ ทำสมณะกิจได้ ชาวบ้านและคนทั่วไปเรียกว่า “วัดเลี้ยงปลา “
เนื่องจากบริเวณนี้อยู่ติดลำคลองซึ่งมีปลาอาศัยอยู่ชุกชมมาก ต่อมาเมื่อถึงฤดูน้ำหลาก น้ำจากเขาหลวงที่อยู่ด้านทิศตะวันตกจะเอ่อล้นตลิ่ง และ ไหลแรงขึ้นมาท่วมบริเวณพื้นที่พักสงฆ์และกัดเซาะพื้นที่วัด อยู่เป็นประจำทุกปี สร้างความเสียหายให้แก่ พื้นที่ และ เสนาสนะ ท่านขรัวสีทองเล็งเห็นว่าในภายภาคหน้าหากเหตุการณ์เป็นอย่างนี้คงไม่เหมาะแน่ จึงปรึกษา กับ ชาวบ้าน และ มองหาพื้นที่ที่จะย้ายไปสร้างวัดขึ้นใหม่ ทางทิศใต้ของที่ตั้งเดิม ซึ่งติดกับทุ่งนา เป็นพื้นที่โล่ง ไม่ห่างจากพื้นที่เดิมมากนัก ท่านขรัวสีทองเห็นว่า เป็นที่สัพปายะ เหมาะแก่การสร้างวัด จึงได้ชักชวนชาวบ้าน สร้างเป็นสำนักสงฆ์ พร้อมทั้งสร้างกิเพิ่มขึ้นอีกหลายหลัง จนมีความเจริญขึ้นตามลำดับ และ วัดนี้ถูกเรียกว่า วัดหัวทุ่งหรือหัวท่องในภาษาใต้ท้องถิ่น ต่อมา เมื่อท่านขรัวสีทอง ได้มรณภาพลง ก็มีเจ้าอาวาสอีกหลายรูปติดต่อกัน จนมาถึงสมัยพระมหาเชือบ ธมฺมปาโล เป็นเจ้าอาวาส ได้สร้างอุโบสถขึ้นหนึ่งหลัง และ ผูกพัทธสีมา ใน ปีพ.ศ.๒๔๘๒ และ ท่านเห็นว่าพื้นที่ของวัด อยู่ในบริเวณที่ราบเชิงเขาหลวงซึ่งมองดูสูงใหญ่ตระห่าน เหมือนเขาพระสุเมรุ จึงขอเปลี่ยนชื่อวัดจากวัดหัวทุ่ง มาเป็น วัดพรหมโลก ให้เหมาะสอดคล้องกับสถานที่ตั้ง และ ลักษณะของภูมิศาสตร์ของพื้นที่บริเวณนี้ และ ใช้ชื่อนี้มาจนถึงปัจจุบัน วัดพรหมโลก ก็มีความเจริญขึ้นตามลำดับหลังจากพระอธิการเชือบ ธมฺมปาโล ได้มรณภาพ ก็มีเจ้าอาวาสต่อมาอีกหลายรูป มีการพัฒนา วัดไปตามยุคสมัย จนกระทั่งมาถึงสมัย พระอธิการเอื้อน สาวโก ได้สร้างโรงเรียนประชาบาลขึ้นหนึ่งหลัง จนกระทั่งมาถึงสมัยพระสมุห์เกลื่อน ฐิตเตโช เป็นเจ้าอาวาส วัดพรหมโลกมีความเจริญมาก มีการสร้างกุฏิสงฆ์ และ เสนาสะนะอีกหลายอย่าง เช่น ศาลาการเปรียญ หอฉัน เป็นต้น ด้วยว่าพระสมุห์เกลื่อน ท่านเป็นพระนักพัฒนา เป็นพระทำงาน แต่ในเรื่องของ ศีล จะริยาวัตร ของ สงฆ์ท่านก็ไม่ได้บกพร่อง จึงยังให้เกิดศรัทธา ต่อศาสนิกชนโดยรอบวัดพรหมโลกเป็นอย่างมาก เมื่อทางวัดทางคณะสงฆ์จะต้องการสร้างเสนาสะนะสิ่งใด ชาวบ้านจะมาช่วยกันเต็มที่ ทั้งออกแรงงาน แรงทรัพย์ โดยเฉพาะตัวท่านเองจะคอยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง และ ลงมือทำในสิ่งที่สมณะพึงทำได้โดย ไม่ได้อยู่เฉย ท่านเป็นพระที่ขยัน ทั้งเรื่องการงาน และ กิจการของสงฆ์ ท่านยังเป็นคนชอบ คนไม่เกียจคร้าน และ ท่านจะสนับสนุน คนขยันในทุกๆเรื่อง เรื่องนี้จะเห็นได้จาก หลังจากที่ท่านมรณภาพไปแล้ว ชาวบ้านที่เคารพศรัทธาในตัวท่าน พระสมุห์เกลื่อน พร้อมใจกัน สร้างรูปหล่อเหมือนของท่านไว้เป็นอนุสรณ์ให้ชนรุ่นหลังได้ระลึกถึงคุณงามความดี คุณประโยชน์ที่ท่านสร้างไว้ และ เพื่อกราบไหว้บูชา บนบานศาลกล่าว เรื่องการงานที่อยากให้ประสบความสำเร็จ ชาวบ้านบริเวณวัดพรหมโลกทุกบ้านจะรู้ดีถึงความศักดิ์สิทธิของท่าน แม้ท่านจะมรณะภาพไปแล้ว ท่านยังคอยเป็นที่พึ่งทางด้านจิตใจของชาวบ้านในละแวกนี้ ได้เป็นอย่างดี หลังจากพระสมุห์เกลื่อน ฐิตเตโช ได้มรภาพลง พระครูวุฒิ ธรรมสาร ( สมปอง ธมฺมสาโร ) เป็นเจ้าอาวาสรูปต่อมา และ ได้มีการพัฒนาวัดในหลายๆด้าน โดยเฉพาะด้านยาสมุนไพร ท่านพ่อท่านสมปอง ธมฺมสาโร เป็นผู้ค้นคว้า ตำรายาสมุนไพรเพื่อรักษาผู้ป่วยที่ถูกงูพิษกัด เป็นที่เชื่อถือ และ นับถือของชาวบ้านในจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นอย่างดีจนมาถึงปัจจุบัน และ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกร ชาวอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช(ในขณะนั้น อำเภอพรหมคีรียังขึ้นอยู่กับอำเภอเมือง) และ แวะเยี่ยมเยือนพสกนิกรที่มารอรับเสด็จที่วัดพรหมโลก ยังความปลาบปลื้มปีติให้แก่ประชาชนชาวพรหมโลกเป็นอย่างมากนอกจากนี้พระครูวุฒิธรรมสาร ยังเป็นพระนักเทศน์มหาชาดอีกด้วยและเคยแสดงพระธรรมเทศนามหาชาดต่อหน้าพระที่นั่งด้วย และ เป็นท่านผู้ตั้งชื่ออำเภอพรหมคีรี และ เป็นเจ้าคณะอำเภอพรหมคีรีรูปแรกด้วย หลังจากพระครูวุฒิธรรมสาร ( สมปอง ธมฺมสาโร ) มรณภาพ พระครูบรรหารวุฒิชัย( ณรงค์ชัย ปญฺญาวุฑโฒ ) ก็เป็นเจ้าอาวาสรูปต่อมา และ เป็นเจ้าคณะอำเภอรูปที่สองของอำเภอด้วย และ วัดพรหมโลก ก็ได้มีการพัฒนาขึ้นในอีกหลายๆด้าน มีการสร้าง และ ปรับปรุงเสนาสะนะใหม่ๆขึ้นอีกหลายๆอย่าง และ ได้สร้างอุโบสถหลังใหม่ขึ้น และ ปรับปรุงหลังเก่าเป็นวิหารประดิษฐานพระพุทธรูป มีการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณลานวัด จัดให้มีกิจกรรมหลายอย่างเพื่อให้เด็กและเยาวชนชุมชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างของวัดซึ่งจะเป็นการเผยแผ่ และ สืบทอดอายุพระพุทธศาสนา พร้อมกันนี้ได้ร่วมมือกับหน่วยงานราชการให้จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ตามอัธยาศัย และ ห้องสมุดประชาชนขึ้นในบริเวณวัด และ ได้ร่วมกับกิ่งกาชาดอำเภอพรหมคีรี ร่วมกับ คุณโสภา มาศดิตถ์ นายมนัสวงศ์ ทัศนวงศ์ สร้างสถานพยาบาลรักษาผู้ป่วยถูกงูพิษกัดด้วยสมุนไพร “บ้านกาชาดอุทิศ “เพื่อสืบสาน และอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น หมองู ของพระครูวุฒิธรรมสาร ให้คงอยู่ต่อไป เพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย จนถึงปัจจุบันนี้.


ทำเนียบรายนาม เจ้าอาวาสวัดพรหมโลก
( ตามคำบอกเล่าและเท่าที่ค้นหาได้ )
๑. ท่านขรัวสีทอง พ.ศ.๒๓๒๕ – มรณภาพ
๒. ท่านสมภารกลา - มรณภาพ
๓. ท่านสมภารคงเสือ - มรณภาพ
๔. ท่านสมภารนุ่น - ลาสิกขาบท
๕. พระอธิการทอง คงฺฆสุวณฺโณ ๒๔๓๐ – ๒๔๕๑ มรณภาพ
๖. พระใบฏีกาช่วย ๒๔๕๓ – ๒๔๖๑ (ภายหลังท่านย้ายไปอยู่วัดแจ้ง ต.ท่างิ้ว อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช )
๗. พระมหาเชือบ ธมฺมปาโล ๒๔๖๓ – ๒๔๘๓ ( ภายหลังไปอยู่วัดสุปัณณาราม (ทุ่งคา)อ.สิชลจ.นครศรีธรรมราชและได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูไพศาลพลานุศาสน์ )
๘.พระอธิการเอื้อน สาวโก ๒๔๘๓ – ๒๔๘๗ ลาสิกขาบท
๙. พระมหาอรุณ อรุโณ ๒๔๘๗ – ๒๔๙๐ ลาสิกขาบท
๑๐.พระสมุห์เกลื่อน ฐิตเตโช ๒๔๘๗ – ๒๔๙๙ มรณภาพ
๑๑.พระครูวุฒิธรรมสาร (สมปอง ธมฺมสาโร ) ๒๕๐๐ – ๒๕๓๖ มรณภาพ
๑๒.พระครูบรรหารวุฒิชัย ( ณรงค์ชัย ปญฺญาวุฑโฒ ) ๒๕๓๖ – ปัจจุบัน