วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เทศกาลสารทเดือนสิบ


ประเพณีเดือนสิบ เป็นงานบุญประเพณีของคนภาคใต้ ของประเทศไทย โดยเฉพาะชาวนครศรีธรรมราช ที่ได้รับอิทธิพลด้านความเชื่อซึ่งมาจากทางศาสนาพราหมณ์โดยมีการผสมผสานกับความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเข้ามาในภายหลัง โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณของบรรพชนและญาติที่ล่วงลับ ซึ่งได้รับการปล่อยตัวมาจากนรกที่ตนต้องจองจำอยู่เนื่องจากผลกรรมที่ตนได้เคยทำไว้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยจะเริ่มปล่อยตัวจากนรกในทุกวันแรม 1 ค่ำเดือน 10 เพื่อมายังโลกมนุษย์โดยมีจุดประสงค์ในการมาขอส่วนบุญจากลูกหลานญาติพี่น้อง ที่ได้เตรียมการอุทิศไว้ให้เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ล่วงลับ หลังจากนั้นก็จะกลับไปยังนรก ในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10
ช่วงระยะเวลาในการประกอบพิธีกรรมของประเพณีสารทเดือนสิบจะมีขึ้นในวันแรม 1 ค่ำถึงแรม 15 ค่ำเดือนสิบของทุกปีแต่สำหรับวันที่ชาวใต้มักจะ นิยมทำบุญกันมากคือวันแรม 13-15 ค่ำ ประเพณีวันสารทเดือนสิบโดยในส่วนใหญ่แล้วจะตรงกับเดือนกันยายน

ประวัติ / ความเป็นมา
งานเทศกาลสารทเดือนสิบ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นประเพณีจัดสืบเนื่องกันมาแต่โบราณถือเป็นประเพณีทำบุญเกี่ยวเนื่อง กับความเชื่อในศาสนาพุทธ และเป็นงานเทศกาลประจำปีที่สำคัญ ยิ่งใหญ่ที่สุดของจังหวัดนครศรีธรรมราช เริ่มจัดงานครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2466 ที่วัดพระมหาธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ภายหลังจึงถือปฏิบัติสืบเนื่องมาเป็นประจำทุกปี จนปัจจุบัน กล่าวได้ว่า กลายเป็นประเพณีสำคัญอย่างหนึ่ง ทั้งความสำคัญและความยิ่งใหญ่ ของการจัดงานทำให้งานนี้เป็นที่รู้จักกันดีทั่วไป ในภาคใต้ รวมทั้งภาคอื่นๆ ของประเทศด้วย

วิวัฒนาการงานประเพณีสารทเดือนสิบ จังหวัดนครศรีธรรมราช แบ่งได้เป็น 2 ช่วง คือ

1. ประเพณีงานเทศกาลเดือนสิบ ก่อนการจัดงานอย่างเป็นทางการ (ก่อน พ.ศ. 2466)
งานบุญสารทเดือนสิบ เป็นงานบุญประเพณีของชาวนครศรีธรรมราชแต่ครั้งโบราณ เช่นเดียวกับที่พบตามภาคต่างๆ ของประเทศ งานบุญสารทเดือนสิบ เป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่ญาติ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากลัทธิพราหมณ์ แต่ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเริ่มเมื่อใด
คำว่า “สารท” เป็นภาษาบาลีแปลว่า ฤดูอับลม หรือฤดูใบไม้ร่วง ตรงกับภาษาสันสกฤตว่า “ศารท” ฤดูสารท หรือฤดูศารท ตรงกับเดือน 11 และเดือน 12 แต่การทำบุญวันสารทของไทยอยู่ในราวปลายเดือน 1 อาจเป็นเพราะการนับเดือนสมัยโบราณ เริ่มนับจากข้างแรม ถ้านับเริ่มจากเดือน 5 ปลายเดือน 10 จะเป็นวันครอบครึ่งปี ดังนั้น คำว่า “สารท” ตามคติไทยอาจถือเป็นวันทำบุญครบครึ่งปีก็ได้

ในระยะเวลาดังกล่าว เป็นช่วงเวลาที่พืชพันธุ์ธัญญาหารในท้องถิ่นออกผล คนสมัยโบราณจะมีพิธีกรรมเซ่นสังเวยผลแรก ได้แก่ ผีสาง เทวดาเพื่อเป็นสิริมงคล เมื่อได้รับศาสนาพราหมณ์และพุทธพิธีกรรมดังกล่าว จึงเปลี่ยนมาเป็นการทำบุญตามความเชื่อทางศาสนา

ประเพณีดังกล่าว จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงความยินดี ที่ได้รับผลผลิตจากการเพาะปลูกในรอบปี เป็นการบำรุง พระพุทธศาสนาด้วยการอุทิศถวายอาหาร พืชผลแรกได้ตามฤดูกาล แด่พระสงฆ์และอุทิศส่วนกุศลแก่ญาติมิตรผู้ล่วงลับ ทั้งยังเป็นการทำบุญเพื่อเป็นสิริมงคลแก่เรือกสวนไร่นา แก่ตนเอง และครอบครัว

เชื่อกันว่า ในวันแรม 1 เดือนสิบ พญายมจะปล่อยวิญญาณญาติๆ มาพบลูกหลานและต้องกลับไปเมืองนรกในวันแรม 15 ค่ำ เดือนสิบ ชาวไทยสมัยก่อน รวมทั้งชาวจังหวัดนครศรีธรรมราชจึงได้ทำบุญในเดือนสิบนี้เป็นประจำทุกปี

2. ประเพณีงานเทศกาลเดือนสิบ ตั้งแต่เริ่มจัดงานเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2466
พ.ศ. 2466 ทางราชการประสงค์จะสร้างอาคารหลังใหม่แทนอาคารศรีธรรมราชสโมสรซึ่งชำรุดทรุดโทรม จึงจัดงานเทศกาลเดือนสิบเพื่อหารายได้ เนื่องจากได้ความคิดจากการจัดงานวันวิสาขบูชา เพื่อหารายได้ซ่อมแซมพระวิหารในวัดมหาธาตุ ใน พ.ศ. 2465)
จึงได้เริ่มจัดงานเดือนสิบเป็นครั้งแรก ที่สนามหน้าเมืองนครศรีธรรมราช ใน พ.ศ. 2466 นี้ และนับแต่นั้นก็ได้มีการจัดต่อเนื่องกันมาโดยตลอด เพื่อหารายได้จากการจัดงาน ไปใช้ในกิจการสาธารณประโยชน์ต่างๆ

พ.ศ. 2533 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมสนับสนุนการจัดงานนี้ โดยการจัดงานเน้น ถึงขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นมากขึ้น

กำหนดงาน
วันแรม 13-15 ค่ำ เดือนสิบของทุกปี ประมาณเดือนกันยายน

กิจกรรม / พิธี
วันแรม 13 ค่ำ เดือน 10 ชาวเมืองนครศรีธรรมราช จะเตรียมซื้อข้าวของ ทั้งอาหาร ผลไม้ ขนม เพื่อเตรียมสำรับ (ชาวเมืองนครฯ เรียก “หมรับ”) ประเคนถวายแด่พระภิกษุ นอกจากนี้จะซื้อของเล่นต่างๆ อาทิ ตุ๊กตา เตรียมแจกแก่เด็กเล็ก ลูกหลาน

วันแรก 14 ค่ำ เรียกวันยก หมรับ ผู้คนจะนำหมรับ และอาหาร ไปวัดถวายพระสงฆ์มีการจัดขบวนแห่ มีดนตรีนำหน้าขบวน นอกจากนี้มีการนำอาหารและขนมเดือนสิบ ตามประเพณีโบราณ รวมทั้งเงินหรือเหรียญสตางค์ไปวางตามที่ต่างๆ เช่น ริมกำแพงวัด. โคนต้นไม้ เพื่อแผ่ส่วนกุศล อุทิศแก่ผู้ล่วงลับที่ปราศจากญาติ หรือญาติที่ไม่ได้มาร่วมทำบุญในวันนี้ เรียกว่า “ตั้งเปรต” หรือ “หลาเปร” (ศาลาเปรต)
หลังจากตั้งเปรตแล้ว เริ่มพิธีกรรมสงฆ์ พระสงฆ์จะสวดบังสุกุลเพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ที่ล่วงลับ จากนั้นชาวบ้านที่ยากจนหรือเด็กๆ จะวิ่งเข้าไปแย่งขนม อาหาร ที่ตั้งเปรต บ้างก็ถือว่าได้บุญบ้างถือเป็นเรื่องสนุก เรียกว่า “การชิงเปรต”

วันแรม 15 ค่ำ เป็นวันสารท ประชาชนจะนำอาหารไปถวายพระสงฆ์อีกครั้งหนึ่ง เพื่อทำบุญฉลอง ห.ม.รับ ที่จัดไป วันนี้เรียกว่า “วันหลองห.ม.รับ” (วันฉลองห.ม.รับ) ถือว่าเป็นวันห.ม.รับ ใหญ่

กิจกรรมที่กระทำในวันนี้ มีการทำบุญเลี้ยงพระและบังสุกุล เพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ญาติพี่น้องและผู้อื่นที่ล่วงลับแล้ว การทำบุญวันนี้ ถือเป็นการทำบุญสำคัญ เพราะถือว่าเป็นวันส่งญาติพี่น้องและผู้ล่วงลับไปแล้ว การทำบุญวันนี้ ถือเป็นการทำบุญสำคัญ เพราะถือว่าเป็นวันส่งญาติพี่น้องและผู้ล่วงลับไปแล้วกลับสู่เมืองนรก ชาวบ้านเรียกวันนี้ว่า “วันส่งตายาย” การทำบุญวันนี้เพ่อบรรพบุรุษ จะไม่อดอยากหิวโหยเมื่อกลับสู่นรก ถ้าลูกหลานไม่ทำบุญในวันส่งตายายนี้จะถูกถือว่าเป็นคนอกตัญญู

สำหรับหมรับ ที่ชาวบ้านทั่วไปจัดไปถวายพระ ตามประเพณีดั้งเดิมสมัยก่อนการจัดหมรับ นิยมใช้กระบุงทรงเตี้ย สานด้วยตอกไม้ไผ่ ขนาดเล็กหรือใหญ่ตามความต้องการของผู้จัด แต่ปัจจุบันใช้ภาชนะจัดตามความสะดวก เช่น ถาด กระจาด กะละมัง ถัง ในหมรับ จะจัดเรียงอาหารคาวหวาน ผัก ผลไม้ ต่างๆ โดยใส่ข้าวสารรองกระบุง จากนั้นใส่หอม กระเทียม พริก เกลือ กะปิ น้ำตาล บรรดาเครื่องปรุงรสที่จำเป็นจนครบ ต่อไปใส่พวกอาหารแห้ง เช่น ปลาเค็ม เนื้อเค็ม ผักผลไม้ สำหรับประกอบอาหารคาวหวานที่เก็บไว้ได้นาน เช่น มะพร้าว ฟัก มัน กล้วยดิบ อ้อย ข่า ตะไคร้ ขมิ้น และพืชผลตามฤดูกาลขณะนั้นนอกจากนี้ใส่ของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันก๊าด ไต้ ไม้ขีด หม้อ กระทะ ด้าย เข็ม ถ้วยชาม ฯลฯ

ถัดขึ้นมาเป็นขนมหวาน 5 ชนิด ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของงานบุญเดือนสิบ คือ

1. ขนมพอง เป็นสัญลักษณ์แทนแพสำหรับญาติผู้ล่วงลับใช้ล่องข้ามห้วงมหรรณพ ตามคติทางพุทธศาสนา
2. ขนมลา เป็นสัญลักษณ์แทนแพรพรรณเครื่องนุ่งห่ม
3. ขนมกง (ขนมไข่ปลา) เป็นสัญลักษณ์แทนเครื่องประดับ
4. ขนมดีซำ เป็นสัญลักษณ์แทนเงินเบี้ย สำหรับใช้สอย
5. ขนมบ้า เป็นสัญลักษณ์แทนสะบ้า สำหรับญาติผู้ตายใช้เล่นสะบ้าในวันสงกรานต์
สัญลักษณ์แทนลูกสะบ้า สำหรับใช้เล่นต้อนรับสงกรานต์ เหตุเพราะขนมบ้ามีรูปทรงคล้ายลูกสะบ้า การละเล่นที่นิยมในสมัยก่อน
แต่บางคนมีขนมลาลอยมันเพิ่มอีก 1 ชนิด รวมเป็น 6 ชนิด โดยขนมลาลอยมัน เป็นสัญลักษณ์แทนฟูก หมอน ขนมเหล่านี้เป็นขนมที่เก็บไว้ได้นาน เหมาะใช้เป็นเสบียงเลี้ยงพระสงฆ์ไปได้ตลอดฤดูฝน
นอกจากอาหารคาวหวาน และเครื่องใช้สอยที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน มีของเล่นพื้นเมืองต่างๆ ซึ่งต้องพิจารณาให้ถูกกับนิสัยความชอบของบรรพบุรุษ ผู้ล่วงลับของตนด้วย เช่นตุ๊กตารูปม้า ไก่ นก ปลา ทำด้วยกระดาษ ใบลาน ไม้ระกำ หรือรูปละครรำ หนังตะลุง

กิจกรรมในประเพณีสารทเดือนสิบ ณ บริเวณสนามหน้าเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
กำหนดจัดงาน 10 วัน 10 คืน โดยนับเริ่มต้นก่อนวันแรม 13 ค่ำ 4 วัน และหลังวันแรม 15 ค่ำ อีก 3 วัน กำหนดให้ช่วงวันแรม 13-15 ค่ำ เป็นช่วงกลางงาน

ภายในงานมีขบวนแห่หมรับ หรือการจัดสำรับอาหารคาวหวาน อาหารแห้ง ไปถวายพระเพื่ออุทิศส่วนอุศลแด่บุรพชน บรรพบุรุษ ผู้ล่วงลับ มีการประกวดห.ม.รับ ที่บริเวณศาลาประดู่หกด้วย

มีพิธีแห่ผ้าขึ้นธาตุ พิธีชิงเปรต ให้ทาน ณ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร และสวนสมเด็จพระศรีนครรินทร์ 84
มีกิจกรรมการออกร้านแสดงและจำหน่ายสินค้า ทั้งของเอกชนและหน่วยงานราชการต่างๆ เช่น การแสดงเกี่ยวกับชนิดของสัตว์น้ำ การเลี้ยงปลา ของกรมประมง การแสดงเกี่ยวกับพันธุ์ข้าว วิธีบำรุงพันธุ์ข้าว วิธีกำจัดศัตรูพืช การประกวดงานฝีมือ ของโรงเรียนต่างๆ การแข่งขันกีฬาแทบทุกประเภท การประกวด “นางสาวนครศรีธรรมราช” เป็นต้น

งานเทศกาลเดือนสิบ ถือได้ว่า เป็นงานประจำปียิ่งใหญ่ มีความเป็นมายาวนาน ทั้งยังมีชื่อเสียงที่สุดงานหนึ่งของชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อถึงวันงานจะมีชาวเมืองนครศรีธรรมราชที่จากภูมิลำเนาเดิมไปยังถิ่นอื่น กลับมาร่วมงานบุญประจำปีในโอกาสนี้ จำนวนมา ขณะเดียวกันก็มีพุทธศาสนิกชนและนักท่องเที่ยวจากจังหวัดต่างๆ เดินทางมาร่วมงานเทศกาลประจำปีนี้ด้วย

ประเพณี บุญสาารทเดือนสิบเกิดขึ้นด้วยเหตุผลในทำนองเดียวกับชาวอินเดียที่มีพิธี 'เปตพลี' เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูต่อบุพการีที่ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งจะถูกปล่อยตัวจากยมโลกเพื่อให้ขึ้นมาพบญาติพี่น้องและลูกหลานในเมือง มนุษย์ในวันแรม 1 ค่ำ เดือนสิบ และกลับลงไปอยู่ในนรกดังเดิม ในวันแรก 15 ค่ำเดือนสิบ ลูกหลานจึงนำอาหารไปทำบุญที่วัดเพื่อเป็นการอุทิศ ส่วนกุศลให้แด่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว โดยทำในวันแรก ที่ผู้ล่วงลับมาจากยมโลก คือวันแรม 1 ค่ำ เดือนสิบ เรียกว่า 'วันหฺมฺรับเล็ก' และวันที่ผู้ล่วงลับจะต้องกลับยมโลกดังเดิมคือวันแรม 15 ค่ำ เดือนสิบ เรียกว่า วันหฺมฺรับใหญ่' (คำว่า 'หฺมฺรับ' มาจากคำว่า 'สำรับ' )

งานจะเริ่มครึกครื้นตั้งแต่วันแรก 13 ค่ำ เดือนสิบ ซึ่งถือว่าเป็น 'วันจ่าย' เนื่องจากชาวเมืองจะหาซื้อสิ่งของต่าง ๆ ที่ใช้จัดหฺมฺรับในวันแรม 14 ค่ำเดือนสิบ 'วันยกหฺมฺรับ' หรือ 'วันรับตายาย' จะยกหฺมฺรับไปวัดและนำอาหารและขนม ส่วนหนึ่งวางไว้ตามที่ต่าง เช่น ริมกำแพงวัด โคนต้น ไม้ เป็นต้น เพื่อแผ่ส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้วที่ปราศจากญาติ ระยะหลังมักนิยมสร้างร้านให้ผู้คนนำขนมมาวางรวมกัน ร้านที่สร้างเรียกว่า 'หลาเปรต' (หลา คือ ศาลา)

ที่ หลาเปรตจะมีสายสินจน์ผูกอยู่เพื่อให้พระสงฆ์สวดบังสุกุลเพื่อส่งกุศลให้ผู้ ล่วงลับ เมื่อเสร็จพิธีผู้คน จะแย่งกันไปเอาขนมที่หลาเปรต เรียกว่า 'ชิงเปรต' เพราะมีความเชื่อว่าการกินของที่เหลือจากเซ่นไหว้บรรพชนได้กุศลแรง


1. ความเป็นมาของงานเทศกาลเดือนสิบเมืองนครศรีธรรมราช

* “งาน เทศกาลเดือนสิบ” จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๖ ที่สนามหน้าเมืองนครศรีธรรมราชโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหาเงินสร้างสโมสรข้า ราชการ ซึ่งชำรุดมากแล้ว โดยในช่วงนั้น พระภัทรนาวิก จำรูญ(เอื้อน ภัทรนาวิก) ซึ่งเป็นนายกศรีธรรมราชสโมสร และพระยารัษฎานุประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการได้ร่วมกันจัดงานประจำปีขึ้นโดยได้จัดกำหนดเอางานทำบุญเดือน สิบมาจัดเป็นงานประจำปี พร้อมทั้งมีการออกร้าน และมหรสพต่างๆโดยมีระยะเวลาในการจัดงาน ๓ วัน ๓ คืน จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ทางจังหวัดได้ย้ายสถานที่จัดงานจากสนามหน้าเมืองไปยังสวนสมเด็จพระศรี นครินทร์ ๘๔ (ทุ่งท่าลาด) ซึ่งมีบริเวณกว้าง และได้มีการจัดตกแต่งสถานที่ไว้อย่างสวยงาม รวมทั้งได้ทำการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดงานไปจากเดิมหลายประการ

2. ความสำคัญของประเพณีสารทเดือนสิบของชาวนครศรีธรรมราช

* การ ทำบุญสารทเดือนสิบ เป็นประเพณีที่ชาวเมืองนครศรีธรรมราชได้ถือปฏิบัติด้วยศรัทธาแต่ดึกดำบรรพ์ โดยถือเป็นคติว่าปลายเดือนสิบของแต่ละปี เป็นระยะที่พืชพันธุ์ธัญญาหารในท้องถิ่นออกผล เป็นช่วงที่ชาวเมืองซึ่งส่วนใหญ่ยังชีพด้วยการเกษตร ชื่นชมยินดีในพืชของตน ประกอบด้วยเชื่อกันว่า ในระยะเดียวกันนี้เปรตที่มีชื่อว่า “ปรทัตตูปชีวีเปรต” จะถูกปล่อยใหัขึ้นมาจากนรก เพื่อมาร้องขอส่วนบุญต่อลูกหลานญาติพี่น้อง เหตุนี้ ณ โลกมนุษย์จึงได้มีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปไห้พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย พี่น้อง ลูกหลานที่ล่วงลับไป โดยการจัดอาหารคาวหวานวางไว้ที่บริเวณวัด เรียกว่า “ตั้งเปรต” ตามพิธีไสยเวทอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้พัฒนามาเป็น “การชิงเปรต” ในเวลาต่อมา

3. เหตุผลของการจัดหฺมฺรับ

* การนายก ทายิกผู้ปลายเดือนสิบอันเป็นระยะเริ่มฤดูฝน “การอิงศาสภิกษุ” ด้วยพืชผลที่ยังไม่ได้ปรุงเป็นอาหารคาวหวานสำหรับขบฉันในทันทีที่ขับประเคน นั้น ชาวเมืองมุ่งหมายจะให้เสบียงเลี้ยงสงฆ์ในฤดูกาลอันยากต่อการบิณฑบาต และเพื่อมิให้ฉันทาคติบังเกิดแก่ทั้งสองฝ่าย คือสงฆ์ และศรัทธาถวายพืชผักสดแก่สงฆ์ จึงใช้วิธี “ สลากภัต” คือจัดใส่ภาชนะตกแต่ง เรียกว่า “สำรับ” หรือ “หฺมฺรับ”

4. “หฺมฺรับ”หัวใจของการทำบุญเดือนสิบ

* การ จัดหฺมฺรับ เป็นการเตรียมเสบียงอาหารบรรจุในภาชนะเพื่อนำไปถวายพระสงฆ์ในช่วงเทศกาล เดือนสิบ เป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพชน หรือญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว ได้นำกลับไปใช้สอยในนรกภูมิ หลังจากถูกปล่อยตัวมาอยู่ในเมืองมนุษย์ช่วงเวลาหนึ่ง และต้องถึงเวลากลับไปใช้กรรมตามเดิม ฉะนั้น บรรดาลูกหลานก็จะต้องจัดเตรียมสิ่งของเครื่องใช้ อาหาร ฯลฯ มิให้ขาดตกบกพร่องแล้วบรรจงจัดลงภาชนะ ตกแต่งประดับประดาด้วยดอกไม้ให้สวยงาม เพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุดให้บรรพบุรุษ ด้วยใจที่เปี่ยมไปด้วยความรัก ความผูกพัน และความกตัญญู

5. การปฎิบัติตามประเพณีสารทเดือนสิบ

* ช่องของการทำบุญเดือนสิบ จะมีวันที่ถูกกำหนดเพื่อดำเนินการเรื่อง “หฺมฺรับ” อยู่หลายวัน และจะมีชื่อเรียกแตกต่างกัน กล่าวคือ

o วันหฺมฺรับเล็ก ตรงกับวันแรม ๑ ค่ำเดือนสิบ เชื่อกันว่าเป็นวันแรกที่วิญญาณของบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วได้รับอนุญาต ให้กลับมาเยี่ยมลูกหลาน ซึ่งลูกหลานจะจัดสำหรับอาหารคาวหวานไปทำบุญที่วัด เป็นการต้อนรับ บางท้องถิ่นเรียกวันนี้ว่า “วันรับตายาย”

o วันจ่าย ตรงกับวันแรม ๑๓ ค่ำเดือนสิบ เป็นวันที่คนนครต้องตระเตรียมข้าวของสำหรับจัดหฺมฺรับ โดยไปตลาดเพื่อจัดจ่ายข้าวของเป็นการพิเศษกว่าวันอื่นๆ

o วันยกหฺมฺรับ ตรงกับวันแรม ๑๔ค่ำเดือนสิบ เป็นวันที่ลูกหลานร่วมกันแบกหาม หรือ ทูนหฺมฺรับที่จัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว ไปถวายพระที่วัด อาจจะรวมกลุ่มคนบ้านไกล้เรือนเคียงไปเป็นกลุ่มตามธรรมชาติ หรือบางทีอาจจะจัดเป็นขบวนแห่เพื่อความคึกคักสนุกสนานก็ได้

o วันหฺมฺรับใหญ่ หรือวันหลองหฺมฺรับ ตรงกับวันแรม ๑๕ ค่ำเดือนสิบ เป็นวันที่นำอาหารคาวหวานไปทำบุญเลี้ยงพระที่วัดครั้งใหญ่ ทำพิธีบังสุกุล อุทิศส่วนกุศลให้บรรพชน และตั้งเปรตเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้วิญญาณที่ไม่มีลูกหลานมาทำบุญให้ ขณะเดียวกันก็ทำพิธีฉลองสมโภชหฺมฺรับที่ยกมา

o การจัดหฺมฺรับ ส่วน ใหญ่การจัดหฺมฺรับ ส่วนใหญ่จะใช้ของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน เพราะสะดวกในการจัดเก็บและรักษา โดยนิยมจัดในภาชนะกระบุง กะละมัง ถัง ถาด วิธีจัดจะใส่ข้าวสารรองชั้นล่าง ตามด้วยเรื่องปรุงพวกของแห้งที่ใช้ในครัว ชั้นถัดมาเป็นพวกอาหารแห้ง หยูกยา หมากพลู และของใช้จำเป็นประจำวัน ส่วนหัวใจของหฺมฺรับที่เป็นเอกลักษณ์ขาดไม่ได้มี ๕ อย่าง (บางแห่งมี๖อย่าง) เป็นคติความเชื่อที่ใช้รูปทรง ลักษณะของขนมเป็นสัญลักษณ์แทนสิ่งจำเป็น และควรมีสำหรับเปรต คือ ขนมพอง ขนมลา ขนมบ้า ขนมดีซำ ขนมกง(ไข่ปลา) และลาลอยมัน

* ขนมลา เป็นสัญลักษณ์แทนแพรพรรณ เครื่องนุ่งห่ม เหตุเพราะขนมลามีรูปทรงดังผ้าถักทอ พับ แผ่ เป็นผืนได้

*ขนมบ้า เป็นสัญลักษณ์แทนลูกสะบ้า สำหรับใช้เล่นต้อนรับสงกรานต์ เหตุเพราะขนมบ้ามีรูปทรงคล้ายลูกสะบ้า การละเล่นที่นิยมในสมัยก่อน

* ขนมดีซำ เป็นสัญลักษณ์แทนเงิน เบี้ย สำหรับใชัสอย เหตุเพราะรูปทรงของขนมคล้ายเบี้ยหอย



การตั้งเปรต

* ใน การทำบุญสารทเดือนสิบ ลูกหลานจะทำขนม หรืออาหารนำไปวางในที่ต่างๆของวัด ตั้งที่ศาลาซึ่งเป็นศาลาสำหรับเปรตทั่วไป และริมกำแพงวัด หรือใต้ต้นไม้ สำหรับเปรตที่ปราศจากญาติ หรือญาติไม่ได้ทำบุญอุทิศให้ หรือมีกรรมไม่สามารถเข้าในวัดได้ พิธีกรรมทำบุญอุทิศส่วนกุศลทำได้โดยการแผ่ส่วนกุศล และกรวดน้ำอุทิศให้ เมื่อเสร็จลูกหลานจะมีการแย่งชิงขนม และอาหารกันที่เรียกว่า “ชิงเปรต”

* การ ชิงเปรต เป็นขั้นตอนที่เกิดขึ้นหลังจากการอุทิศส่วนกุศลแก่เปรต โดยมีพระสงฆ์สวดบังสุกุล พอพระชักสายสิญจน์ที่พาดโยงไปยังอาหารที่ตั้งเปรต ลูกหลานก็จะเข้าไปแย่งเอามากิน ซึ่งของที่แย่งมาได้ถือเป็นของเดนชาน การได้กินเดนชานจากวิญญาณบรรพบุรุษ เป็นความเชื่อที่ถือกันว่าเป็นการแสดงความรัก เป็นสิริมงคล และเป็นกุศลสำหรับลูกหลาน

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

พ่อท่านคล้าย จันทสุวัณโณ วัดจันดี จ.นครศรีธรรมราช

“พระครูพิศิษฐ์อรรถการ” หรือ “พ่อท่านคล้าย จันทสุวัณโณ”
“พระครูพิศิษฐ์อรรถการ” หรือ “พ่อท่านคล้าย จันทสุวัณโณ” ผู้มีวาจาสิทธิ์แห่งเมืองใต้ อดีตเจ้าอาวาสวัดจันดี กิ่ง อ.ช้างกลาง จ.นครศรีธรรมราช หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า วัดทุ่งปอน
ชาวเมืองนครศรีธรรมราช ให้ความเลื่อมใสศรัทธา และรู้จักชื่อเสียงของท่านเป็นอย่างดี อัตโนประวัติ เกิดในสกุล สีนิล เมื่อวันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ.2419 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ปีชวด ที่บ้านโคกกระทือ หรือบ้านโคกทือ หมู่ 10 ต.ช้างกลาง อ.ฉวาง จ.นครศรี ธรรมราช (ปัจจุบันตำบลช้างกลางอยู่ในอำเภอช้างกลาง) โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายอินทร์และนางเหนี่ยว สีนิล
ครอบครัวของพ่อท่านคล้ายมีฐานะค่อน ข้างดี มีความรู้เรื่องอักษรไทยและขอมเป็นอย่างดี จึงสอนเขียนอ่าน บุตรชายด้วยตัวเองที่บ้าน จนมีความชำนาญ และยังได้ส่งบุตรชายไปเรียนคณิตศาสตร์ต่อยังสำนักของครูขำ
อายุ ประมาณ 14-15 ปี ได้เดินทางไปอยู่กับพี่สาวและพี่เขย ที่ ต.มะม่วงเอน อ.คลองท่อม จ.กระบี่ ต่อมา ในปี พ.ศ.2438 ได้เข้าพิธีบรรพชา โดยพระอธิการจัน อดีตเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดจันดี (ทุ่งปอน) ขณะจำพรรษาก็ตั้งใจใฝ่เรียน ฝึกท่องพระปาฏิโมกข์จนชำนาญแคล่วคล่องแม่นยำ
ครั้นอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ในปี พ.ศ.2439 ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ อุทกุกเขปสีมา (ศาลาน้ำ) วัดวังม่วง โดยมีพระอาจารย์กราย คังคสุ วัณโณ เจ้าอาวาสวัดหาดสูง เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์สังข์ สิริรตโน เจ้าอาวาสวัดไม้เรียง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์ทอง ปทุมสุวัณโณ เจ้าอาวาสวัดวังม่วงเป็นพระอนุสาวนาจารย์ และมีพระอาจารย์ล้อม ถิรโชโต เป็นผู้ให้สรณคมน์และศีล ได้รับฉายาว่า จันทสุวัณโณ
หลังจากอุปสมบท ได้อยู่จำพรรษาที่วัดจันดี ศึกษาพระธรรมวินัยและภิกขุ ปาฏิโมกข์จนแตกฉาน ต่อมาได้ไปศึกษาพระปริยัติธรรมกับท่านพระครูกาแก้ว (ศรี) วัดหน้าพระบรมธาตุฯ อยู่ 2 ปี ศึกษาวิทยาคมจากพระอาจารย์กราย วัดหาดสูง ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์จนแก่กล้า เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดัง
หลังจากนั้น พ่อท่านคล้ายเริ่มออกธุดงค์แสวงหาความวิเวกตามป่าเขาและถ้ำต่างๆ เพื่อศึกษาทางด้านปฏิบัติ นั่งสมาธิ นั่งกัมมัฏฐานอย่างจริงจัง ตามประวัติและหลักฐานที่ปรากฏท่านแบกกลดท่องธุดงค์และเทศนาธรรมเผยแผ่พระ พุทธศาสนาถึงดินแดนใต้สุดเมืองสยามตลอดจนประเทศมาเลเซีย โดยพำนักปักกลดที่วัดพุทธาธิวาส อ.เบตง จ.ยะลา
พ่อท่านคล้าย ได้สร้างคุโณปการไว้กับพระ พุทธศาสนามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเผยแผ่หลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ สร้างศรัทธาปสาทะกับพุทธศาสนิกชนให้เลื่อมใส เข้าใจในคำสอนของพระพุทธศาสนาอย่างแจ่มแจ้ง อีกทั้งสร้าง ปูชนียวัตถุ ปูชนียสถานที่สืบทอดพระศาสนาอยู่จนทุกวันนี้ คือ องค์พระธาตุเจดีย์ พระพุทธรูปตามวัดต่างๆ รวมทั้งศาสนสถานมากมาย ตลอดจนถาวรวัตถุสิ่งต่างๆ มากมาย อาทิ โรงเรียน ถนนหนทาง ขุดคลอง สร้างสะพานมากมายหลายแห่ง
พ.ศ.2492 พ่อท่านคล้าย ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ในราชทินนามพระครูพิศิษฐ์อรรถการ
พ.ศ.2500 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษ ในราชทินนามเดิม


“พระครูพิศิษฐ์อรรถการ” หรือ “พ่อท่านคล้าย จันทสุวัณโณ”
พ่อท่านคล้าย เป็นพระนักพัฒนา ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบและจะอ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ พ.ศ.2475 ท่านเจ้าคุณพระศรีธรรมสาธน์ (เจ้าคุณพระรัตนธัชมุนี) ซึ่งเป็นพระราชาคณะได้นิมนต์พ่อท่านไปจำพรรษาและดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดจัน ดี เนื่องจากวัดจันดีไม่มีเจ้าอาวาสปกครอง
วาระสุดท้ายของพ่อท่านคล้าย ได้มรณภาพอย่างสงบ ณ ห้องหมายเลข 5 ตึกสุทธิสารรณกร โรงพยาบาลพระมงกุฎ เกล้า เวลา 23.05 น. วันที่ 5 ธันวาคม 2513 ทุกวันนี้สรีระสังขารพ่อท่านคล้าย ได้กลายเป็นหินและไม่เน่าเปื่อย ถูกบรรจุอยู่ในโลงแก้ว ให้คณะศิษย์จากทั่วสารทิศได้นมัสการ ภายในพระเจดีย์ วัดพระธาตุน้อย ตลาดคลองจันดี
ด้านวัตถุมงคลพ่อท่านคล้าย ล้วนแต่ได้รับความนิยมหลายรุ่น ล่าสุดกำลังเปิดให้สั่งจอง เหรียญและรูปเหมือนพ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ รุ่นนะมหาเศรษฐี เพื่อสมทบทุนจัดสร้างศาลาการเปรียญ และก่อสร้างกำแพงวัดจันดี จ.นครศรีธรรมราช
ที่มาคอลัมน์ อริยะโลกที่6

วังโบราณ ลานสกา

จากตำนานพระเจ้าศรีธรรมโศกราชของจังหวัดนครศรีธรรมราชของวัดมหาธาตุวรมหาวิหาร ว่าประมาณปี 1700-1800 เมืองนครศร๊ธรรมราชมีกษัตริย์ สาม พี่น้องพระเชษฐา ทรงพระนามว่า "พระเจ้าศรีธรรมโศกราช" องค์รองชื่อ "จันทรภาณุ" องค์สุดท้ายนามว่า "พงษาสุระ" ทุกพระองค์ครองราชจะทรงพระนามว่า พระเจ้าศรีธรรมโศกราชทั้งหมด ในช่วงนี้ได้สร้างความเจริญให้กับอาณาจักรเป็นอย่างมากทั้งโดยได้ครอบครองเมืองทั้งหลายตลอดแหลมมลายูเรียกว่าเมืองสิบสองนักษัตรถือรูปดอกบัวเป็นสัญญลักษณ์ประจำเมืองนอกจากนี้พระเจ้าศรีธรรมโศกราชได้บูรณะพระบรมธาตุนครศรีธรรมราชซึ่งแบบเดิมเป็นแบบศรึวิชัย ให้เป็น แบบ ลังกาโดยก่อครอบเจดีย์เดิมเมื่อสิ้นสมัยกษัตริย์ สามพี่น้องแล้วหัวเมืองต่างๆในสุวรรณภูมิก็รวมตัวกันมีพระราชาปกครองต่อมาในสมัยพ่อขุนราม คำแหงได้มีการสร้างระเบียงรอบองค์พระบรมธาตุ ทำกำแพงรอบทั้งสี่ด้าน สร้างวิหารติดกับองค์ เจดีย์ใหญ่และสร้างพระพุทธรูปขึ้นแทนองค์พระเจ้าศรีธรรมโศกราชเพื่อประดิษฐานไว้ในวิหารสามจอม และเรียกกันต่อมาว่าวิหารพระเจ้าศรีธรรมโศกราช

ในสมัยพระเจ้าศรีธรรมโศกราชได้เกิดโรคห่าระบาดหลายครั้งพระองค์ต้องอพยพประชากร หนีโรคภัยออกจากเมืองหลายครั้งตามหลักฐานได้ปรากฎว่าหนีมาที่ ลานสกาและสถานที่ประทับก็คือ วังโบราณ แห่งนี้ โดยพระองค์ได้คิดวิธีแก้ไข้ห่า โดยเอาปรอทมาหุงขัดยา ทำเป็นหัวนอโม หว่านทั่วเมืองเพื่อขจัดโรคห่าให้หมดไปเมื่ือหมดจากโรคห่าพระองค์จึงเสด็จประทับที่เมืองนครศรีธรรมราชเป็นการถาวร สถานที่ตรงนั้นจึงเกิดเป็นวัดขึ้น ชื่อว่าวัดน้ำรอบแต่ต่อมาได้ย้ายวัดมาที่สถานที่ใหม่เนื่องจากสถานที่เก่าคับแคบ แต่ต่อมาในปี2510 ได้บูรณะขึ้นมาใหม่ได้มีการนำพระพุทธรูปจำลององค์ พระเจ้าศรีธรรมโศกราช มาประดิษฐานที่นี่ด้วยในปี 2514 เพื่อเตือนใจว่าที่นี่เคยเป็นที่ประทับของพระเจ้าศรีธรรมโศกราชมาแต่ครั้งก่อน

ต่อมาในปี 2518 ที่นี่ได้เกิดอุทกภัย พระพุทธรูปองค์นี้ได้สูญหายไป ต่อจากนั้นชาวบ้านได้กล่าวขานกันว่า องค์พระได้มาเข้าฝันบอกว่าจมอยู่ไนน้ำนานแล้วให้ช่วยเอาขึ้นมาด้วยชาวบ้านก็ช่วยกันขุดแต่ก็ไม่สามารถหาเจอ จนกระทั่งในปี 2546ได้ทำการขุดค้นอีกครั้งและได้ทำการบวงสรวงเทพยด่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ได้ค้นพบชิ้นส่วนองค์พระในคราวนั้นและในเดือน กรกฎาคม 2546 ได้มีการค้นพบแท่นประทับของพระเจ้าศร๊ธรรมโศกราชโดยกล่าวกันว่า การต้นพบนั้นมาจากการเข้าฝัน

วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วัดพรหมโลก

ประวัติโดยย่อ วัดพรหมโลก
วัดพรหมโลก เป็น วัดราษฏร์ สังกัดมหานิกาย ตั้งอยู่ที่ บ้านนอกท่า เลขที่ ๑๖๔ หมู่ที่ ๑ ตำบลพรหมโลก อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช มีเนื้อที่ปัจจุบันประมาณ ๑๕ ไร่ ๓ งาน ๗๖ ตารางวา ตามโฉนดที่ดิน เลขที่ ๒๙๔๙ เล่มที่ ๓๐ หน้าที่ ๔๙
วัดพรหมโลก เดิมชื่อวัด(หัวทุ่ง หรือ *หัวท่อง *เป็นภาษาท้องถิ่นทางปักษ์ใต้ หมายถึง พื้นที่สวนหัว หรือ คันนา ) สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ปฐมกษัติริย์ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตอนต้น มีอายุใกล้เคียง กับ กรุงเทพมหานคร ในสมัยสงครามเก้าทัพ กองทัพพม่า ได้บุกเข้าตี เมืองนครศรีธรรมราช บ้านเมือง เกิดความระส่ำระสาย เกิด เหตุการณ์ข้าวยากหมากแพง บ้านเรือน วัดวาอารามถูกเผาทำลาย ทัพพม่าได้กวาดต้อนผู้คนไปเป็นเฉลย จำนวนมาก พ่อท่านขรัวสีทอง สมภารวัดพระสูง (หอพระสูงในปัจจุบัน อยู่บริเวณสนามหน้าเมือง นครศรีธรรมราช ) ได้อพยพพร้อมชาวบ้านหนีพวกทหารพม่ามาลงเรือที่หลังวัดท่ามอญ ( วัดศรีทวีในปัจจุบัน ) แล้วเดินเท้าต่อขึ้นไปทางทิศเหนือ แล้วไปหยุดพักเป็นระยะ ผ่านหมู่บ้าน หลายหมู่บ้าน เช่น บ้านหัวเล ศาลาตีนเป็ด ( บ้านน้ำสรงปัจจุบัน ) ศาลาต้นไพ ( บ้านศาลาไพ ปัจจุบัน ) ศาลาบ้านหาดปรางค์ (บ้านศาลาใหม่ในปัจจุบัน ) ในการเดินทาง ทุกสถานที่ที่พ่อท่านขรัวสีทองหยุดพัก ท่านก็จะ คอยสังเกตดูพื้นที่โดยรอบบริเวณที่หยุดพักค้างแรมพร้อมทั้งสอบถามชาวบ้านในพื้นที่นั้นๆ เพื่อที่จะหา สถานที่สร้างวัดขึ้นมาใหม่ หลังจากหยุดพักแรมที่บ้านหาดปรางค์อยู่ระยะหนึ่งแล้ว ท่านขรัวสีทองก็เดินทางต่อขึ้นไปทางเหนือ ผ่านอีกหลายหมู่บ้าน เช่น บ้านสัปบุรุษ ( บ้านสำรุดอ่อนในปัจจุบัน ) บ้านเขาปูน จนกระทั่ง มาหยุดที่บริเวณริมคลองนอกท่า ( ด้านทิศเหนือของ*วัดพรหมโลก*ในปัจจุบัน) เมื่อศึกสงครามสงบลง ท่านก็ได้พักแรมอยู่ที่นี่ และ ท่านได้สังเกตเห็นว่า บริเวณนี้เป็นพื้นที่ เหมาะแก่การสร้างที่พักสงฆ์ได้ เพราะอยู่ ติดริมคลอง การสัญจรไปมาสะดวกสบาย น้ำท่าก็อุดมสมบูรณ์ เพราะ คลองนอกท่า มีต้นน้ำที่ไหลมาจากเทือกเขาหลวงที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตก ท่านจึงได้ชักชวนชาวบ้านในพื้นที่ สร้างกุฏิเล็กๆขึ้นหนึ่งหลัง พอที่จะพักผ่อน และ ทำสมณะกิจได้ ชาวบ้านและคนทั่วไปเรียกว่า “วัดเลี้ยงปลา “
เนื่องจากบริเวณนี้อยู่ติดลำคลองซึ่งมีปลาอาศัยอยู่ชุกชมมาก ต่อมาเมื่อถึงฤดูน้ำหลาก น้ำจากเขาหลวงที่อยู่ด้านทิศตะวันตกจะเอ่อล้นตลิ่ง และ ไหลแรงขึ้นมาท่วมบริเวณพื้นที่พักสงฆ์และกัดเซาะพื้นที่วัด อยู่เป็นประจำทุกปี สร้างความเสียหายให้แก่ พื้นที่ และ เสนาสนะ ท่านขรัวสีทองเล็งเห็นว่าในภายภาคหน้าหากเหตุการณ์เป็นอย่างนี้คงไม่เหมาะแน่ จึงปรึกษา กับ ชาวบ้าน และ มองหาพื้นที่ที่จะย้ายไปสร้างวัดขึ้นใหม่ ทางทิศใต้ของที่ตั้งเดิม ซึ่งติดกับทุ่งนา เป็นพื้นที่โล่ง ไม่ห่างจากพื้นที่เดิมมากนัก ท่านขรัวสีทองเห็นว่า เป็นที่สัพปายะ เหมาะแก่การสร้างวัด จึงได้ชักชวนชาวบ้าน สร้างเป็นสำนักสงฆ์ พร้อมทั้งสร้างกิเพิ่มขึ้นอีกหลายหลัง จนมีความเจริญขึ้นตามลำดับ และ วัดนี้ถูกเรียกว่า วัดหัวทุ่งหรือหัวท่องในภาษาใต้ท้องถิ่น ต่อมา เมื่อท่านขรัวสีทอง ได้มรณภาพลง ก็มีเจ้าอาวาสอีกหลายรูปติดต่อกัน จนมาถึงสมัยพระมหาเชือบ ธมฺมปาโล เป็นเจ้าอาวาส ได้สร้างอุโบสถขึ้นหนึ่งหลัง และ ผูกพัทธสีมา ใน ปีพ.ศ.๒๔๘๒ และ ท่านเห็นว่าพื้นที่ของวัด อยู่ในบริเวณที่ราบเชิงเขาหลวงซึ่งมองดูสูงใหญ่ตระห่าน เหมือนเขาพระสุเมรุ จึงขอเปลี่ยนชื่อวัดจากวัดหัวทุ่ง มาเป็น วัดพรหมโลก ให้เหมาะสอดคล้องกับสถานที่ตั้ง และ ลักษณะของภูมิศาสตร์ของพื้นที่บริเวณนี้ และ ใช้ชื่อนี้มาจนถึงปัจจุบัน วัดพรหมโลก ก็มีความเจริญขึ้นตามลำดับหลังจากพระอธิการเชือบ ธมฺมปาโล ได้มรณภาพ ก็มีเจ้าอาวาสต่อมาอีกหลายรูป มีการพัฒนา วัดไปตามยุคสมัย จนกระทั่งมาถึงสมัย พระอธิการเอื้อน สาวโก ได้สร้างโรงเรียนประชาบาลขึ้นหนึ่งหลัง จนกระทั่งมาถึงสมัยพระสมุห์เกลื่อน ฐิตเตโช เป็นเจ้าอาวาส วัดพรหมโลกมีความเจริญมาก มีการสร้างกุฏิสงฆ์ และ เสนาสะนะอีกหลายอย่าง เช่น ศาลาการเปรียญ หอฉัน เป็นต้น ด้วยว่าพระสมุห์เกลื่อน ท่านเป็นพระนักพัฒนา เป็นพระทำงาน แต่ในเรื่องของ ศีล จะริยาวัตร ของ สงฆ์ท่านก็ไม่ได้บกพร่อง จึงยังให้เกิดศรัทธา ต่อศาสนิกชนโดยรอบวัดพรหมโลกเป็นอย่างมาก เมื่อทางวัดทางคณะสงฆ์จะต้องการสร้างเสนาสะนะสิ่งใด ชาวบ้านจะมาช่วยกันเต็มที่ ทั้งออกแรงงาน แรงทรัพย์ โดยเฉพาะตัวท่านเองจะคอยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง และ ลงมือทำในสิ่งที่สมณะพึงทำได้โดย ไม่ได้อยู่เฉย ท่านเป็นพระที่ขยัน ทั้งเรื่องการงาน และ กิจการของสงฆ์ ท่านยังเป็นคนชอบ คนไม่เกียจคร้าน และ ท่านจะสนับสนุน คนขยันในทุกๆเรื่อง เรื่องนี้จะเห็นได้จาก หลังจากที่ท่านมรณภาพไปแล้ว ชาวบ้านที่เคารพศรัทธาในตัวท่าน พระสมุห์เกลื่อน พร้อมใจกัน สร้างรูปหล่อเหมือนของท่านไว้เป็นอนุสรณ์ให้ชนรุ่นหลังได้ระลึกถึงคุณงามความดี คุณประโยชน์ที่ท่านสร้างไว้ และ เพื่อกราบไหว้บูชา บนบานศาลกล่าว เรื่องการงานที่อยากให้ประสบความสำเร็จ ชาวบ้านบริเวณวัดพรหมโลกทุกบ้านจะรู้ดีถึงความศักดิ์สิทธิของท่าน แม้ท่านจะมรณะภาพไปแล้ว ท่านยังคอยเป็นที่พึ่งทางด้านจิตใจของชาวบ้านในละแวกนี้ ได้เป็นอย่างดี หลังจากพระสมุห์เกลื่อน ฐิตเตโช ได้มรภาพลง พระครูวุฒิ ธรรมสาร ( สมปอง ธมฺมสาโร ) เป็นเจ้าอาวาสรูปต่อมา และ ได้มีการพัฒนาวัดในหลายๆด้าน โดยเฉพาะด้านยาสมุนไพร ท่านพ่อท่านสมปอง ธมฺมสาโร เป็นผู้ค้นคว้า ตำรายาสมุนไพรเพื่อรักษาผู้ป่วยที่ถูกงูพิษกัด เป็นที่เชื่อถือ และ นับถือของชาวบ้านในจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นอย่างดีจนมาถึงปัจจุบัน และ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกร ชาวอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช(ในขณะนั้น อำเภอพรหมคีรียังขึ้นอยู่กับอำเภอเมือง) และ แวะเยี่ยมเยือนพสกนิกรที่มารอรับเสด็จที่วัดพรหมโลก ยังความปลาบปลื้มปีติให้แก่ประชาชนชาวพรหมโลกเป็นอย่างมากนอกจากนี้พระครูวุฒิธรรมสาร ยังเป็นพระนักเทศน์มหาชาดอีกด้วยและเคยแสดงพระธรรมเทศนามหาชาดต่อหน้าพระที่นั่งด้วย และ เป็นท่านผู้ตั้งชื่ออำเภอพรหมคีรี และ เป็นเจ้าคณะอำเภอพรหมคีรีรูปแรกด้วย หลังจากพระครูวุฒิธรรมสาร ( สมปอง ธมฺมสาโร ) มรณภาพ พระครูบรรหารวุฒิชัย( ณรงค์ชัย ปญฺญาวุฑโฒ ) ก็เป็นเจ้าอาวาสรูปต่อมา และ เป็นเจ้าคณะอำเภอรูปที่สองของอำเภอด้วย และ วัดพรหมโลก ก็ได้มีการพัฒนาขึ้นในอีกหลายๆด้าน มีการสร้าง และ ปรับปรุงเสนาสะนะใหม่ๆขึ้นอีกหลายๆอย่าง และ ได้สร้างอุโบสถหลังใหม่ขึ้น และ ปรับปรุงหลังเก่าเป็นวิหารประดิษฐานพระพุทธรูป มีการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณลานวัด จัดให้มีกิจกรรมหลายอย่างเพื่อให้เด็กและเยาวชนชุมชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างของวัดซึ่งจะเป็นการเผยแผ่ และ สืบทอดอายุพระพุทธศาสนา พร้อมกันนี้ได้ร่วมมือกับหน่วยงานราชการให้จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ตามอัธยาศัย และ ห้องสมุดประชาชนขึ้นในบริเวณวัด และ ได้ร่วมกับกิ่งกาชาดอำเภอพรหมคีรี ร่วมกับ คุณโสภา มาศดิตถ์ นายมนัสวงศ์ ทัศนวงศ์ สร้างสถานพยาบาลรักษาผู้ป่วยถูกงูพิษกัดด้วยสมุนไพร “บ้านกาชาดอุทิศ “เพื่อสืบสาน และอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น หมองู ของพระครูวุฒิธรรมสาร ให้คงอยู่ต่อไป เพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย จนถึงปัจจุบันนี้.


ทำเนียบรายนาม เจ้าอาวาสวัดพรหมโลก
( ตามคำบอกเล่าและเท่าที่ค้นหาได้ )
๑. ท่านขรัวสีทอง พ.ศ.๒๓๒๕ – มรณภาพ
๒. ท่านสมภารกลา - มรณภาพ
๓. ท่านสมภารคงเสือ - มรณภาพ
๔. ท่านสมภารนุ่น - ลาสิกขาบท
๕. พระอธิการทอง คงฺฆสุวณฺโณ ๒๔๓๐ – ๒๔๕๑ มรณภาพ
๖. พระใบฏีกาช่วย ๒๔๕๓ – ๒๔๖๑ (ภายหลังท่านย้ายไปอยู่วัดแจ้ง ต.ท่างิ้ว อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช )
๗. พระมหาเชือบ ธมฺมปาโล ๒๔๖๓ – ๒๔๘๓ ( ภายหลังไปอยู่วัดสุปัณณาราม (ทุ่งคา)อ.สิชลจ.นครศรีธรรมราชและได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูไพศาลพลานุศาสน์ )
๘.พระอธิการเอื้อน สาวโก ๒๔๘๓ – ๒๔๘๗ ลาสิกขาบท
๙. พระมหาอรุณ อรุโณ ๒๔๘๗ – ๒๔๙๐ ลาสิกขาบท
๑๐.พระสมุห์เกลื่อน ฐิตเตโช ๒๔๘๗ – ๒๔๙๙ มรณภาพ
๑๑.พระครูวุฒิธรรมสาร (สมปอง ธมฺมสาโร ) ๒๕๐๐ – ๒๕๓๖ มรณภาพ
๑๒.พระครูบรรหารวุฒิชัย ( ณรงค์ชัย ปญฺญาวุฑโฒ ) ๒๕๓๖ – ปัจจุบัน